
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วไม่รู้ว่านานเท่าไรเอาแค่เท่าที่ได้ฟังมาก็่ดูเหมือนจะหลายสิบปีอยู่ แฮ่. เข้าเรื่องดีกว่าเรื่องมีอยู่ว่ามีครอบครัวหนึ่งก็เป็นครอบครัวแบบไทย ๆ เรานั่นแหละครับคือจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกสาวสองคน และลูกเขยอีกสองคน ลูกเขยคนโตดูจะเป็นลูกเขยคนโปรดของพ่อตาอยู่ไม่น้อยเพราะว่าเป็นผู้ที่ผ่านการบวชเรียนมาจึงมีความคิดพูดจามีหลักการต่างจากลูกเขยคนเล็กที่พอตามองว่าดีแต่พูดจาถูๆ ไถๆ ไปวันๆ ไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร
อยู่มาวันหนึ่ง หนึ่งพ่อตากับสองลูกเขยก็ออกไปทำไร่กันเป็นเรื่องปกติ สามคนเดินผ่านกอไผ่กอหนึ่งพ่อตาก็อยากลองภูมิลูกเขยของตนจึงแกล้งถามเขยใหญ่ว่า เอทำไมใบไผ่ด้านนอกมันจึงเป็นสีแดงในขณะที่ด้านในมันเขียวสด ลูกเขยคนโตได้ตอบว่า เป็นเพราะใบไผ่ที่อยู่ด้านนอกมันโดนแดดเผามันก็เลยเป็นสีแดง แต่ใบไผ่ที่อยู่ด้านในไม่โดนแดดมันจึงเขียวสด พ่อตาได้ฟังก็ภูมิใจลูกเขยตนยิ่งนักที่เป็นคนมีความรู้ แต่พอหันไปถามลูกเขยคนเล็กบ้างคำตอบที่ได้คือ ธรรดามันก็เป็นไปตามธรรชาติของมันนั่นแหละ คำตอบนี้ก็เป็นที่ขัดเคืองใจผู้เป็นพ่อตายิ่งนัก และเมื่อเดินต่อได้สักพักก็ได้เจอนกกระสาตัวหนึ่ง ผู้เป็นพ่อตาก็หันมาถามลูกเขยคนโตอีกว่า เอทำไมนกกระสานี่ทำไมมันถึงร้องเสียงดังนักนะ ลูกเขยคนโตก็ตอบว่า เพราะมันมีคอที่ยาวมันจึงได้ีมีเสียงดัง และพอผู้เป็นพ่อตาหันมาถามลูกเขยคนเล็กก็ได้คำตอบเดิมคือ ธรรมดามันก็เป็นไปตามธรรมชาติของมัน ผู้เป็นพ่อตายิ่งไม่พอใจเจ้าลูกเขยคนเล็กยิ่งนัก และสักพักทั้งสามคนก็เดินผ่านบริเวณที่เป็นทุ่งนาพ่อตาสังเกตุเห็นนาแปลงหนึ่งต้นข้าวงอกงามในขณะที่อีกแปลงกลับตรงกันข้าวคือต้นข้าวไม่ค่อยจะงอกงามมีต้นข้าวอยู่โกร๋นเกร๋นจึงถามลูกเขยคนโตว่า เพราะอะไรแปลงนาที่อยู่ติดกันสองแปลงจึงแตกต่างกันเพียงนี้ ลูกเขยคนโตก็ตอบว่า เป็นเพราะที่นาแปลงที่ต้นข้าวไม่งามนั้นมันมีทางน้ำเค็มไหลผ่านมันจึงปลูกข้าวไม่ค่อยได้ผลเหมือนอีกแปลง พ่อตาหันไปทางลูกเขยคนเล็กบอกว่า แล้งเอ็งล่ะว่าอย่าบอกอีกนะว่าเป็นธรรมชาติของมันน่ะ ลูกเขยคนเล็กตอบว่า จ้ะพ่อก็เป็นธรรมชาติของมันนั่นแหละ
เย็นนั้นผู้เป็นพ่อตากลับมาบ้านด้วยความเดือดดาลใจยิ่งนัก และมาโวยวายกับภรรยาบอกว่า ลูกเขยคนเล็กนี่ไม่ไหวถามอะไรก็ตอบแต่ว่าธรรมชาติของมัน แม่ยายจึงหันมาถามลูกเขยคนเล็กว่า ไปทำอะไรให้พ่อเขาโกรธ ลูกเขยจึงเล่าเรีองที่ผ่านมาให้ฟัง แม่ยายจึงถามว่า แล้วอย่างไรล่ะที่ว่าธรรมชาติของมันน่ะ ลูกเขยคนเล็กก็ตอบว่า ก็อย่างใบไผ่ที่ว่าส่วนที่อยู่ข้างนอกมันโดนแดดเผามันเลยออกแดงๆ นั่นน่ะที่ว่าเป็นธรรมชาติของมันก็เพราะดูอย่างแตงโมสิทำไมเปลือกที่โดนแดดจึงเป็นสีเขียว แต่เนื้อในไม่โดนแดดทำไมจึงเป็นสีแดงล่ะ พ่อตาดูจะอึ้งแต่ยังเสียงแข็งถามว่าแล้วนกกระสาล่ะว่าไง ลูกเขยก็ตอบว่า นกกระสาก็เช่นกันที่ตอบว่ามันมีเสียงดังเพราะมันคอยาวนั่นน่ะ ก็ลองดูกบซิมันไม่มีคอยาวแต่ทำไมมันร้องเสียงดังได้ล่ะ แล้วเรื่องที่นานั่นล่ะ พ่อตาถามต่อ คราวนี้เจ้าลูกเขยทำท่าอึกอัก พ่อตาเห็นดังนั้นก็พูดว่า เอ็งไม่มีอะไรมาแก้ตัวแล้วสิ ลูกเขยจึงตอบว่า ปล่าวจ้ะพ่อ แต่ผมว่าผมไม่ควรตอบ พ่อตาจึงบอกว่า เฮ้ยเอ็งต้องตอบ ลูกเขยจึงตอบว่า จ้ะพ่อ ว่าพลางเหลือบมองศรีษะล้านของพ่อตา ก็ดูอย่างเส้นผมบนศรีษะของพ่อสิ ไม่มีส่วนไหนที่มีทางน้ำเค็มไหลผ่านแต่ทำไมบางส่วนจึงไม่งอกงามเหมือนส่วนอื่นๆ ล่ะ...!
เอ้อผมว่า เมื่อเจ้าลูกเขยคนเล็กมันตอบแบบนี้ ก็จบเหอะ...ตัวใครตัวมันครับ
อยู่มาวันหนึ่ง หนึ่งพ่อตากับสองลูกเขยก็ออกไปทำไร่กันเป็นเรื่องปกติ สามคนเดินผ่านกอไผ่กอหนึ่งพ่อตาก็อยากลองภูมิลูกเขยของตนจึงแกล้งถามเขยใหญ่ว่า เอทำไมใบไผ่ด้านนอกมันจึงเป็นสีแดงในขณะที่ด้านในมันเขียวสด ลูกเขยคนโตได้ตอบว่า เป็นเพราะใบไผ่ที่อยู่ด้านนอกมันโดนแดดเผามันก็เลยเป็นสีแดง แต่ใบไผ่ที่อยู่ด้านในไม่โดนแดดมันจึงเขียวสด พ่อตาได้ฟังก็ภูมิใจลูกเขยตนยิ่งนักที่เป็นคนมีความรู้ แต่พอหันไปถามลูกเขยคนเล็กบ้างคำตอบที่ได้คือ ธรรดามันก็เป็นไปตามธรรชาติของมันนั่นแหละ คำตอบนี้ก็เป็นที่ขัดเคืองใจผู้เป็นพ่อตายิ่งนัก และเมื่อเดินต่อได้สักพักก็ได้เจอนกกระสาตัวหนึ่ง ผู้เป็นพ่อตาก็หันมาถามลูกเขยคนโตอีกว่า เอทำไมนกกระสานี่ทำไมมันถึงร้องเสียงดังนักนะ ลูกเขยคนโตก็ตอบว่า เพราะมันมีคอที่ยาวมันจึงได้ีมีเสียงดัง และพอผู้เป็นพ่อตาหันมาถามลูกเขยคนเล็กก็ได้คำตอบเดิมคือ ธรรมดามันก็เป็นไปตามธรรมชาติของมัน ผู้เป็นพ่อตายิ่งไม่พอใจเจ้าลูกเขยคนเล็กยิ่งนัก และสักพักทั้งสามคนก็เดินผ่านบริเวณที่เป็นทุ่งนาพ่อตาสังเกตุเห็นนาแปลงหนึ่งต้นข้าวงอกงามในขณะที่อีกแปลงกลับตรงกันข้าวคือต้นข้าวไม่ค่อยจะงอกงามมีต้นข้าวอยู่โกร๋นเกร๋นจึงถามลูกเขยคนโตว่า เพราะอะไรแปลงนาที่อยู่ติดกันสองแปลงจึงแตกต่างกันเพียงนี้ ลูกเขยคนโตก็ตอบว่า เป็นเพราะที่นาแปลงที่ต้นข้าวไม่งามนั้นมันมีทางน้ำเค็มไหลผ่านมันจึงปลูกข้าวไม่ค่อยได้ผลเหมือนอีกแปลง พ่อตาหันไปทางลูกเขยคนเล็กบอกว่า แล้งเอ็งล่ะว่าอย่าบอกอีกนะว่าเป็นธรรมชาติของมันน่ะ ลูกเขยคนเล็กตอบว่า จ้ะพ่อก็เป็นธรรมชาติของมันนั่นแหละ
เย็นนั้นผู้เป็นพ่อตากลับมาบ้านด้วยความเดือดดาลใจยิ่งนัก และมาโวยวายกับภรรยาบอกว่า ลูกเขยคนเล็กนี่ไม่ไหวถามอะไรก็ตอบแต่ว่าธรรมชาติของมัน แม่ยายจึงหันมาถามลูกเขยคนเล็กว่า ไปทำอะไรให้พ่อเขาโกรธ ลูกเขยจึงเล่าเรีองที่ผ่านมาให้ฟัง แม่ยายจึงถามว่า แล้วอย่างไรล่ะที่ว่าธรรมชาติของมันน่ะ ลูกเขยคนเล็กก็ตอบว่า ก็อย่างใบไผ่ที่ว่าส่วนที่อยู่ข้างนอกมันโดนแดดเผามันเลยออกแดงๆ นั่นน่ะที่ว่าเป็นธรรมชาติของมันก็เพราะดูอย่างแตงโมสิทำไมเปลือกที่โดนแดดจึงเป็นสีเขียว แต่เนื้อในไม่โดนแดดทำไมจึงเป็นสีแดงล่ะ พ่อตาดูจะอึ้งแต่ยังเสียงแข็งถามว่าแล้วนกกระสาล่ะว่าไง ลูกเขยก็ตอบว่า นกกระสาก็เช่นกันที่ตอบว่ามันมีเสียงดังเพราะมันคอยาวนั่นน่ะ ก็ลองดูกบซิมันไม่มีคอยาวแต่ทำไมมันร้องเสียงดังได้ล่ะ แล้วเรื่องที่นานั่นล่ะ พ่อตาถามต่อ คราวนี้เจ้าลูกเขยทำท่าอึกอัก พ่อตาเห็นดังนั้นก็พูดว่า เอ็งไม่มีอะไรมาแก้ตัวแล้วสิ ลูกเขยจึงตอบว่า ปล่าวจ้ะพ่อ แต่ผมว่าผมไม่ควรตอบ พ่อตาจึงบอกว่า เฮ้ยเอ็งต้องตอบ ลูกเขยจึงตอบว่า จ้ะพ่อ ว่าพลางเหลือบมองศรีษะล้านของพ่อตา ก็ดูอย่างเส้นผมบนศรีษะของพ่อสิ ไม่มีส่วนไหนที่มีทางน้ำเค็มไหลผ่านแต่ทำไมบางส่วนจึงไม่งอกงามเหมือนส่วนอื่นๆ ล่ะ...!
เอ้อผมว่า เมื่อเจ้าลูกเขยคนเล็กมันตอบแบบนี้ ก็จบเหอะ...ตัวใครตัวมันครับ